บทที่ 2 เหตุการณ์สำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สนธิสัญญาเบาริ่ง
สนธิสัญญาเบาว์ริง
การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ
เมื่อพ.ศ.2398 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีความสำคัญต่อไทย คือ เป็นการเปิดกว้างประเทศไทย ทำให้ไทยเข้าสู่สังคมนานาชาติ
มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ
ทำให้ไทยเริ่มการปรับปรุงประเทศให้เป็นแบบสากล
สนธิสัญญาเบาว์ริงก่อให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจในระยะสั้นๆ แต่ทำให้ไทยถูกจำกัดในเรื่องสิทธิการเก็บภาษีขาเข้า
เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและเรื่องคนในบังคับต่างชาติ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อ พ.ศ. 2394
ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องยินยอมตามข้อเรียกร้องของชาติตะวันตก
จึงทรงติดต่อกับเซอร์ จอห์น เบาว์ริง(Sir John
Bowring) ข้าหลวงอังกฤษประจำเกาะฮ่องกง ผู้ซึ่งจะเป็นราชทูตมาเจรจาไขสนธิสัญญากับไทยว่ายินดีที่จะแก้ไขสนธิสัญญา
แต่ขอเวลาให้งานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสร็จสิ้นก่อน
และขอทราบความต้องการของอังกฤษในการแก้ไขสนธิสัญญา
เพื่อไทยจะได้ปรึกษาเป็นการภายในก่อน การแก้ไขสนธิสัญญาก็จะทำได้เร็วขึ้น เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เดินทางเข้ามาถึงเมืองไทยในปลายเดือนมีนาคม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
และทรงตั้งคณะกรรมการเพื่อเจรจาแก้ไขสนธิสัญญา
มีพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงธิราชสนิทเป็นประธาน ทำกันที่พระราชวังเดิม คือ
พระราชวังเก่าของพระเจ้าตากสินมหราราช การเจรจาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
และมีการลงนามในสนธิสัญญาในต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2398
1.คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ ณ กรุงเทพฯหรือในสยามจะอยู่ภายใต้อำนาจควบคุม
ของกงสุลอังกฤษโดยทางสยามจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวทำได้เพียงช่วยเหลือจับกุมให้อังกฤษ
นับเป็นครั้งแรกที่สยามมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ประชากรต่างด้าว
2.คนในบังคับอังกฤษได้รับสิทธิในการค้าขายอย่างเสรี
ในเมืองท่าทุกแห่งของสยามและสามารถพำนักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นการถาวรได้ โดยสยามไม่ห้ามปรามและสามารถจ้างลูกจ้าง
มาช่วยสร้างบ้านเรือนได้โดยไทยไม่ห้ามปราม
คนในบังคับอังกฤษสามารถซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณดังกล่าได้
(อาณาเขตสี่ไมล์สองร้อยเส้นไม่เกินกำลังเรือแจวเดินทางในยี่สิบสี่ชั่วโมงจากกำแพงพระนคร)
คนในบังคับอังกฤษยังได้รับอนุญาตให้เดินทางได้อย่างเสรีในสยามโดยมีหนังสือที่ได้รับการรับรองจากกงสุล
3.ยกเลิกค่าธรรมเนียมปากเรือและกำหนดอัตราภาษีขาเข้าและขาออกชัดเจน
อัตราภาษีขาเข้าของสินค้าทุกชนิดกำหนดไว้ที่ร้อยละ3ยกเว้นฝิ่นที่ไม่ต้องเสียภาษี
แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษี ส่วนเงินทองและข้าวของเครื่องใช้ของพ่อค้าไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน
สินค้าส่งออกให้มีการเก็บภาษีชั้นเดียว
โดยเลือกว่าจะเก็บภาษีชั้นใน(จังกอบภาษีป่าภาษีปากเรือ)หรือภาษีส่งออก
4.พ่อค้าอังกฤษได้รับอนุญาตให้ซื้อขายโดยตรงได้กับเอกชนสยาม
โดยไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งขัดขวางหรือเบียดเบียน
5.รัฐบาลสยามสงวนสิทธิ์ ในการห้ามส่งออกข้าวเกลือและปลา
เมื่อสินค้าดังกล่าวมีทีท่าว่าจะขาดแคลนในประเทศ
6.คนในบังคับของอังกฤษจะมาค้าขายตามหัวเมืองชายฝั่งทะเลของสยามได้
แต่จะต้องอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯแลจังหวัดที่ระบุไว้ในสัญญา
7.ถ้าฝ่ายไทยยอมให้สิ่งใดๆแก่ชาติอื่นๆ
นอกจากหนังสือสัญญานี้ก็จะต้องยอมให้อังกฤษแลคนในบังคับอังกฤษเหมือนกัน
สนธิสัญญาเบาว์ริง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไทย ดังนี้
1. เป็นการเริ่มต้นการค้าเสรีในประเทศไทย
ซึ่งทำให้ต่างชาติเข้ามาค้าขายเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก
จนทำให้ผู้คนภายในประเทศมีฐานะดีขึ้นกว่าเดิม
2. ข้าวกลายเป็นสินค้าสำคัญของไทย
จนกระทั่งปัจจุบัน
3. ไทยเข้าสู่สังคมนานาชาติ
มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น
วัฒนธรรมไทยมีการปรับตัวให้เหมาะสมมีการรับวัฒนธรรมและวิทยาการของชาติตะวันตกเข้ามามากขึ้น
ผลเสียของสนธิสัญญาเบาว์ริงก็มีเหมือนกัน ดังนี้
1. ไทยถูกจำกัดการเก็บภาษีขาเข้าที่อัตราร้อยละ 3
2. เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและคนในบังคับ
ทำให้ประเทศตะวันตกชักชวนคนชาติเอเชียไปจดทะเบียนเป็นคนในบังคับ
กฎหมายไทยจึงไม่สามารถควบคุมคนเหล่านั้นได้
ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว
ได้ทรงพยายามเจรจากับชาติตะวันตกเพื่อขอแก้ไขสนธิสัญญาและประสบผลสำเร็จในบางส่วน
พระมหากษัตริย์ในสมัยต่อมาทรงพยายามดำเนินงานต่อ จนประสบผลสำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2481 ทำให้ไทยสามารถเพิ่มอัตราภาษีได้และสิทธิสภาพนอกอาณาเขตรวมทั้งปัญหาคนในบังคับจึงสิ้นสุดลง
D งาม มากๆๆ เลยค่ะ ครูอ้อ
ตอบลบรอทำแบบฝึกหัดนะคะ
แบบฝึกหัดเสร็จแล้วจร้า
ลบ