บทที่ 2 พุทธประวัติ ป.6
บทที่ 2 พุทธประวัติ ป.6
การประสูติ
พระเจ้าสุทโธทนะ
(พุทธบิดา) กับพระนางสิริมหามายา (พุทธมารดา)
ได้เสวยราชสมบัติครองกรุงกบิลพัสดุ์อย่างสันติสุข
ในเวลาต่อมาพระนางสิริมหามายาก็ทรงพระครรภ์ เมื่อจวนจะประสูติ พระนางได้ทูลขอพระสวามีเสด็จไปประสูติพระราชบุตรที่บ้านเดิมตามธรรมเนียมพราหมณ์ที่กรุงเทวทหะ
แต่ในขณะเดินทางพระนางเกิดประชวรพระครรภ์
เจ้าชายสิทธัตถะจึงประสูติที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน
ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ เมื่อวันเพ็ญ เดือน ๖
ชีวิตในวัยเยาว์
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ ๗ พรรษา
พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบความสุขสำราญ รับสั่งให้ขุดสระ ๓
สระและทรงมอบพระโอรสเข้าศึกษาที่สำนักของครูวิศวามิตร
แม้ว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นกษัตริย์
พระองค์ก็ทรงรู้จักวางตนเคารพบูชาต่อครูอาจารย์
อภิเษกสมรส
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา
พระราชบิดาได้จัดอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราหรือพระนางพิมพาและสร้างปราสาท ๓ ฤดู
เพื่อให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงพระเกษมสำราญกับความสุขทาง
โลก
มูลเหตุที่ออกบวช
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ เสวยความสุขสำราญในโลกิยสุขเป็นเวลา ๒๙ พรรษา
วันหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จประพาสอุทยาน ได้เห็นเทวทูต ๔ คือ “คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ เป็นความทุกข์ เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ควรเป็นนักบวชที่มีความสงบ” ในวันเดียวกันพระองค์ก็ทรงทราบข่าวการประสูติพระโอรส พระนามว่า “ราหุล” พระองค์จึงทรงเปล่งอุทานว่า “บ่วงเกิดแล้ว”
แสวงหาโมกขธรรม
เมื่อบวชแล้ว
เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์เพื่อศึกษาในสำนักอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ครั้งแรก
ศึกษาในสำนักอาฬารดาบส และอุทกดาบส จนหมดความรู้ของครู อาจารย์
ทรงพิจารณาเห็นว่ามิใช่หนทางแห่งการตรัสรู้ จึงเสด็จต่อไปอีก
จนถึงสถานที่แห่งหนึ่งในเขตอุรุเวลาเสนานิคม
การตรัสรู้
ในขณะที่พระองค์กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่นั้น ได้มีปัญจวัคคีย์ คือ โกญฑัญญะ
วัปปะ ภัททิยะ
มหานามะ อัสสชิ
มาปรนนิบัติอยู่ตลอดเวลาเพื่อหวังว่าเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วจะได้แสดงธรรมแก่พวกตนบ้าง
และเมื่อพระองค์ทรงละความพยายามในการบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์จึงได้พากันหลีกหนีไป
เมื่อปัญจวัคคีย์พากันหนีไปแล้วพระองค์จึงได้บำเพ็ญเพียรทางจิตตลอดมาจนถึงวันเพ็ญ
เดือน ๖ พระองค์ได้รับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา เมื่อเสวยแล้วจึงได้ลอยถาดทองคำในแม่น้ำเนรัญชรา
แล้วทรงตั้งอธิษฐานว่า ถ้าพระองค์จะได้ตรัสรู้ขอถาดทองคำนั้นจงลอยทวนกระแสน้ำซึ่งถาดนั้นก็ได้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปจริง
ๆ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นนิมิตนั้นแล้วจึงประทับ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ตั้งปณิธานว่า “แม้เนื้อหนังจะเหี่ยวแห้งไป
ถ้าไม่บรรลุธรรม จะไม่ลุกจากอาสนะนี้”
ในคืนวันเพ็ญ เดือน ๖ พระองค์ได้เจริญภาวนา
ทำให้จิตเป็นสมาธิจนได้บรรลุฌาน ๓ ประการตามระยะเวลาในค่ำคืนนั้น โดย
ยามที่ ๑ พระองค์สามารถระลึกชาติได้
ยามที่ ๒พระองค์สามารถมองเห็นการจุติและการเกิดของมวลสัตว์โลกทั้งปวง
ยามที่ ๓ พระองค์ได้บรรลุอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ประกาศศาสนา
เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้วได้เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายาวัน
เมืองพาราณสี เพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ด้วยพระธรรมเทศนา ชื่อว่า “ธัมมจักปปวัตนสูตร” จนปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด
ต่อจากนั้นมีผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์ ถวายตัวเป็นศิษย์ บรรลุพระอรหันต์เป็นอันมากท่านเหล่านั้นจึงเป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนา
เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์
พระพุทธเจ้าทรงได้รับเชิญจากพระเจ้าสุทโธทนะ
(พุทธบิดา) ให้เสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จมาถึงบรรดาพระประยูรญาติ ซึ่งมานั่งต้อนรับต่างนึกกระดากใจในการที่น้อมถวายอภิวาทพระพุทธเจ้า
ซึ่งมีอายุน้อยกว่าตน จึงจัดให้พระประยูรญาติผู้น้อย
และผู้คราวบุตรหลานออกไปนั่งข้างหน้า เพื่อถวายอภิวาทแก่พระพุทธเจ้า
ส่วนพวกตนพากันถอยออกมานั่งอยู่ข้าง ไม่ถวายอภิวาท
พระพุทธเจ้าทรงเห็นดังนั้นจึงทรงเหาะขึ้นลอยอยู่ในอากาศให้ปรากฏประหนึ่งว่าละอองธุลีพระบาทไม่หล่นตรงศีรษะของพระประยูรญาติ
เพื่อลดทิฐิมานะคลายความถือตัวลงบ้าง
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะเห็นดังนั้นจึงเกิดความอัศจรรย์ในพระหฤทัย
ประนมหัตถ์ถวายบังคมพระพุทธเจ้า พร้อมเหล่าพระประยูรญาติด้วยความเคารพ
กล่าวกันว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาประทับนั่งแล้วท้องฟ้ามืดครึ้ม
และสายฝนสีแดง เรียกว่า “ฝนโบกขรพรรษ” ตกลงมาในท่ามกลางที่ประชุมของพระประยูรญาติ
สายฝนซึ่งตกลงมานั้นถ้าใครต้องการให้เปียกจึงเปียก
หากไม่ต้องการแม้เพียงเม็ดเดียวก็มิได้เปียกตัว แล้วตรัสเทศนาเวสสันดรชาดก
เมื่อจบลงแล้วเหล่าพระประยูรญาติถวายส่งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ
พุทธกิจสำคัญอื่น ๆ
สมัยหนึ่ง บุตรเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีผู้หนึ่งชื่อว่า “ยสะ” มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างผาสุกทางโลก
อยู่ต่อมาในค่ำคืนหนึ่ง ยสกุลบุตร นอนหลับไปก่อน
ฝ่ายนางบำเรอและบริวารต่างหลับภายหลัง ค่ำคืนนั้นขณะดึกสงัด แสงเทียนยังคงสว่างอยู่
ยสกุลบุตรตื่นขึ้นมาพบภาพเหล่าบริวารนอนหลับเกลื่อนกลาด
บ้างก็นอนกรนบ้างก็นอนละเมอพึมพำ แสดงอาการน่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก
ดุจซากศพที่ทิ้งไว้ในป่าช้า ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีดังแต่ก่อน
จึงเปล่งอุทานว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” จนยสกุลบุตรทนอยู่ที่นั้นไม่ได้ เดินออกจากห้องไปตามเส้นทางหนึ่ง
ผ่านเข้าไปในป่าอิสิปตนมฤคทายวันด้วยจิตใจอันร้อนรุ่ม
ขณะใกล้รุ่งสาง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นั้น ทรงได้ยินเสียงบ่นของยสกุลบุตร
จึงตรัสว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง
ท่านจงมาที่นี่เถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน”
ยสกุลบุตรได้ยินเสียงนั้นจึงดีใจ ถอกรองเท้าไปเฝ้าพระพุทธองค์
ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ด้วยความสบายใจ ปราศจากความฟุ้งซ่านต่าง ๆ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาสั่งสอนฟอกจิตของยสกุลบุตรให้ห่างจากความยินดีในกามอารมณ์
จนสามารถแสดงธรรมที่เรียกว่า “อริยสัจ ๔” เพื่อบรรลุมรรคผลนั่นเอง
การปลงอายุสังขาร
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีขึ้นในวันมาฆบูชา ณ กูฏคารศาลา ป่ามหาวัน เมื่อมีพระชมมายุได้ 80 พรรษา ซึ่ง ณ เวลานั้น ทรงได้ตรัสรู้แล้วเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนมานานถึง 45 ปีแล้ว ก็ได้ทรงตั้งพระทัยว่า "นับแต่นี้ต่อไปอีกสามเดือน
ตถาคตจักดับขันธปรินิพพาน" การปลงอายุสังขารจึงมีความหมายในภาษาสามัญว่า
การกำหนดวันตายไว้ล่วงหน้านั่นเอง
พรรษาที่ 45 เป็นพรรษาสุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการประกาศธรรม
พรรษานี้ พระองค์เสด็จประทับอยู่ที่หมู่บ้านเวฬุคาม เขตไพศาลี
เมืองหลวงของรัฐวัชชี ภายในพรรษา พระองค์ประชวรอย่างหนักจนเกือบเสด็จปรินิพพาน
เนื่องจากตลอดเวลา 44 ปีที่ผ่านมานั้น พระองค์มิได้ทรงนิ่งเฉย
ทรงเสด็จดำเนินจาริกไปในรัฐต่าง ๆเพื่อทรงเผยแผ่พระศาสนา
ซึ่งหนทางไปมาของแต่ละรัฐนั้นก็ล้วนแต่ทุรกันดาร
จนเป็นเหตุให้พระวรกายของพระองค์บอบช้ำมาก
อีกทั้งบัดนี้พระชนมายุของพระองค์ก็ย่างเข้าสู่ 80 ซึ่งนับได้ว่าได้ทรงชราภาพมากแล้ว
แต่กระนั้น
พระองค์ก็ยังทรงดำรงอยู่ได้ด้วยอธิวาสนขันติจนพระวรกายกลับเป็นปกติดังเดิม วันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ประทับนั่ง ณ
พุทธอาสน์ซึ่งปูลาดไว้ ณ ร่มเงาแห่งพระวิหาร
พระอานนท์ซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐากได้เข้ามาเฝ้า ถวายนมัสการ แล้วกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ได้เห็นความผาสุกแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ความอดกลั้นทนทานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ก็ได้เห็นแล้ว
คราเมื่อได้เห็นพระองค์ทรงพระประชวร ข้าพระองค์ก็พลอยรู้สึกปวดทรมานเช่นพระองค์
แม้ทิศาสนนุทิศทั้งหลายก็ดูมืดมนไป แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่สว่างแก่ดวงจิต
เพราะมาวิตกถึงความที่พระองค์ประชวรนั้นแต่ก็ยังอุ่นใจอยู่หน่อยหนึ่งว่าอย่างไรเสีย
เมื่อพระองค์ยังมิได้ทรงปรารภถึงภิกษุสงฆ์
แล้วตรัสคำอันใดอันหนึ่งก็คงจะยังไม่เสด็จปรินิพพานเป็นแน่”
พระองค์ตรัสตอบว่า “ดูก่อนอานนท์ ภิกษุสงฆ์ยังมาหวังอะไรในตถาคตอีกเล่า
ธรรมที่ตถาคตแสดงแล้วทั้งปวงนั้น ตถาคตแสดงโดยเปิดเผย ไม่มีภายในภายนอก
ไม่มีการปกปิดซ่อนเร้นเงื่อนงำที่สำคัญในธรรมใด ๆ เลย
แม้ข้อซึ่งลี้ลับปกปิดซ่อนบังไว้โดยเพื่อจะแสดงแก่พระสาวกบางรูป บางเหล่า
ไม่ทั่วไปก็ดีหรือจะเก็บไว้เพื่อแสดงต่ออวสานกาลที่สุดก็ดี ข้อนี้หามีแก่ตถาคตไม่
อานนท์ บัดนี้ตถาคตแก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยเสียแล้ว อายุแห่งตถาคตถึง 80
แล้ว กายแห่งตถาคตย่อมเป็นประหนึ่งเกวียนเก่า คร่ำคร่า
อาศัยไม้ไผ่ผูกกระหนาบคาบค้ำ อานนท์ เธอจงมีตนเป็นธรรมเป็นที่พึ่งทุกอิริยาบถเถิด”
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่หมู่บ้านเวฬุคามนั้น จนล่วงมาถึงวันเพ็ญเดือน
3
ในเวลาปัจฉาภัตต์ของวันนี้พระองค์เสด็จไปประทับที่ปาวาลเจดีย์รัฐวัชชีเพื่อทรงสำราญ
อยู่ กลางวัน โดยมีพระอานนท์ติดตามไปด้วย ณ ที่นี้ พระองค์ได้ทรงทำนิมิตโอภาส คือตรัสข้อความเป็นเชิงเปิดโอกาสให้พระอานนท์ทูลอาราธนาเพื่อดำรงพระชนม์อยู่ต่อไป
ว่า
“ดูก่อนอานนท์ หากบุคคลผู้ซึ่งได้เจริญอิทธิบาททั้ง 4 ประการ
ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ไปจนตลอดกัปหนึ่งหรือมากกว่าก็สามารถอยู่ได้ตามที่ปรารถนาไว้
อานนท์ตถาคตแลได้เจริญอิทธิบาททั้ง 4 ประการแล้ว
ดังนั้นหากตถาคตปรารถนาก็สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดกัปหรือมากกว่าได้” แต่พระอานนท์ก็ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงหมายถึงอะไร
เพราะในขณะนั้นท่านได้ถูกมารเข้ามาดลใจไว้ ดังนั้น
ท่านจึงมิได้กราบทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ต่อไป
เพื่อประโยชน์สุขแก่เหล่าเทพยดาและมวลมนุษย์ทั้งหลายซึ่งแม้พระองค์จะทรงทำนิมิตโอภาสเช่นนั้นซ้ำอีกตั้ง
2 ครั้งก็ตาม
ครั้งนั้น พระองค์จึงตรัสกับท่านว่า “อานนท์
เธอจงไปนั่งยังวิเวกสถานเจริญฌานสมาบัติโดยควรเถิด” เมื่ออานนท์ออกไปแล้ว
มารก็เข้ามาทูลให้พระองค์เสด็จปรินิพพาน พระองค์ทรงรับ
และทรงกำหนดพระทัยจักปรินิพพานในอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งเรียกว่า “ทรงปลงอายุสังขาร”
ทันใดนั้น
ก็บังเกิดความมหัศจรรย์บันดาลพื้นแผ่นพสุธาธานโลกธาตุกัมปนาทหวั่นไหว
ประหนึ่งว่าแสดงความทุกข์ใจ อาลัยในพระพุทธเจ้าซึ่งจักเสด็จปรินิพพานในอีก 3
เดือนข้างหน้านี้
พระอานนท์ได้เห็นดังนั้น
จึงกลับเข้ามาเฝ้าพระองค์แล้วทูลถามถึงเหตุที่อัศจรรย์แผ่นดิน ไหวนั้น
พระองค์ตรัสตอบว่า “อานนท์ เหตุ 8 ประการนี้แล
แต่ละอย่างทำให้เกิดแผ่นดินไหว คือ
1. ลมกำเริบ
2. ผู้มีฤทธิ์บันดาล
3. พระโพธิสัตว์จุติจากสัคคดุสิตลงสู่พระครรภ์
4. พระโพธิสัตว์ประสูติ
5. พระตถาคตเจ้าตรัสรู้
6. พระตถาคตเจ้าแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร
7. พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร
8. พระตถาคตเจ้าปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
เมื่อพระอานนท์ได้ฟังดังนั้น
ก็ทราบได้ทันทีว่าที่แผ่นดินไหวครั้งนี้นั้นก็เพราะพระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร
ท่านจึงกราบทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่สั่งสอนเวไนยนิกรต่อไปตลอดกัปถึง
3 ครั้ง แต่พระองค์ก็ตรัสห้ามเสียเพราะในบัดนี้ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วที่จะมาทูลอาราธนาพระองค์
เหตุเพราะพระองค์ได้ตรัสคำขาดไว้แล้ว
และจะทรงกลับคำเสียเพราะเหตุแห่งชีวิตย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
ครั้นแล้วได้ตรัสบอกพระอานนท์ว่าแม้ในวันก่อน ๆ
พระองค์ก็ทรงได้ทำนิมิตโอภาสอย่างนี้แล้วเหมือนกัน แต่อานนท์ก็ไม่รู้เท่าทันพระองค์จึงมิได้ทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ต่อไป
ซึ่งนั่นก็เป็นความผิดของอานนท์แต่เพียงผู้เดียว
ปัจฉิมสาวก
ปริพาชกชาวเมืองกุสินาราผู้หนึ่ง นามว่า “สุภัททะ” ได้ยินข่าวพระพุทธเจ้าปรินิพพานในยามสุดท้ายของราตรีวันนี้ที่ป่าไม้สาละ
จึงรีบมาเฝ้าพระองค์ เพื่อกราบทูลถามปัญหาที่ตัวเองยังข้องใจสงสัยอยู่
ขณะที่เข้ามาถึงเวลาได้ล่วงเข้ามาเป็นมัชฌิมยามแล้ว
และเมื่อจะเข้าเฝ้าก็ได้ถูกพระอานนท์ขัดขวางไว้ เพราะจะเป็นการรบกวนพระพุทธเจ้า
ซึ่งในเวลานั้นทรงประชวรหนักมากแล้ว แต่สุภัททะก็พยายามที่จะเข้าไปให้ได้
พระอานนท์ก็ขัดขวางอยู่อย่างนั้น
เสียงพูดโต้ตอบกันระหว่างสุภัททะกับพระอานนท์ได้ดังเข้าไปถึงพระแท่นที่บรรทมของพระพุทธเจ้าซึ่งทรงประชวรหนัก
แต่ก็ยังพอมีสติสัมปชัญญะอยู่ ดังนั้นพระองค์จึงตรัสให้พระอานนท์อนุญาตให้สุภัททะเข้าเฝ้าตามประสงค์
พระอานนท์จึงกระทำตามพระดำรัสนั้น
เมื่อสุภัททะเข้าเฝ้าแล้ว
พระองค์ทรงตอบปัญหาสุภัททะและทรงแสดงธรรมแก่สุภัททะจนเกิดความเลื่อมใส
สุภัททะจึงประกาศตนเป็นอุบาสกถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ แล้วทูลขออุปสมบท
พระพุทธเจ้าสั่งให้พระอานนท์พาสุภัททะเข้าไปบรรพชา
พระอานนท์กระทำตามพระดำรัส
แล้วก็พาสุภัททะเข้าไปหาพระพุทธเจ้าเพื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุ พระสุภัททะเมื่ออุปสมบทแล้ว ได้รีบเร่งบำเพ็ญเพียรจนบรรลุพระอรหันต์
เป็นปัจฉิมสาวก คือสาวกองค์สุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสด็จดับขันธปรินิพพาน
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ประกาศศาสนามาถึง ๔๕ พรรษา ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุ
๘๐พรรษา จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา เมื่อวันเพ็ญ เดือน ๖
ก่อนพุทธศักราช 1 ปี
เมื่อเวลาปรินพพานของพระองค์ใกล้เข้ามา พระอานนท์ได้หลีกออกมายืนเหนี่ยวกลอนประตูพระวิหาร (สลักเพชร) ร้องไห้รำพันด้วยความน้อยใจในวาสนาอาภัพของตนเอง ซึ่งแม้จะติดตามอยู่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเหมือนเงาตามตัว แล้วก็ยังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์เสียที กระทั่งบัดนี้ พระองค์จะเสด็จปรินิพพานแล้วก็ยังคงเหมือนเดิม และเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้วตนเองจะอยู่กับใคร
เมื่อเวลาปรินพพานของพระองค์ใกล้เข้ามา พระอานนท์ได้หลีกออกมายืนเหนี่ยวกลอนประตูพระวิหาร (สลักเพชร) ร้องไห้รำพันด้วยความน้อยใจในวาสนาอาภัพของตนเอง ซึ่งแม้จะติดตามอยู่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเหมือนเงาตามตัว แล้วก็ยังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์เสียที กระทั่งบัดนี้ พระองค์จะเสด็จปรินิพพานแล้วก็ยังคงเหมือนเดิม และเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้วตนเองจะอยู่กับใคร
ขณะนั้น พระพุทธเจ้าซึ่งทรงบรรทมอยู่ได้รับสั่งเรียกพระอานนท์มาเฝ้า
ครั้นทรงทราบว่าทานเองไปยืนร้องไห้อยู่ที่ประตูพระวิหารจึงรับสั่งให้นำท่านเข้ามา
แล้วตรัสประทานโอวาทว่า “อานนท์ อย่าเลย
เธออย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไห้ไปเลย เราได้เคยบอกไว้แล้วมิใช่หรือว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงจะหาความเที่ยงแท้จากสังขารได้แต่ที่ไหน
ทุกสิ่งที่เกิดมาแล้ว ล้วนต้องแปรปรวนและแตกดับทำลายสลายสิ้น เช่นเดียวกันทั้งนั้น
อานนท์เธอเป็นคนมีบุญอันได้สั่งสมไว้แล้ว เธอจงหมั่นปฏิบัติบำเพ็ญเพียรเถิด
ไม่ช้าแล้วเธอก็จักถึงซึ่งความดับสิ้นไปแห่งอาสวะ”แล้วได้ตรัสสรรเสริญพระอานนท์ว่าเป็นยอดพุทธอุปัฏฐาก
เป็นพหูสูต มีสติรอบคอบมีฐิติคือความเพียรและมีปัญญารู้จักกาลเทศะ
พระอานนท์กราบทูลให้เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองอื่น
ลำดับนั้น
พระอานนท์จึงทูลให้พระองค์เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองอื่นอย่างเช่นเมืองราชคฤห์
เพราะเป็นเมืองใหญ่ทั้งยังดูสมเกียรติอีกด้วยไม่ควรเสด็จปรินิพพานในเมืองเล็ก ๆ
อย่างกุสินารานี้ พระองค์ทรงห้ามเสียแล้วตรัสว่า “อานนท์เธออย่ากล่าวอย่างนั้นเลย
ในอดีต เมืองกุสินารานี้ จอมจักรพรรดิราชผู้ทรงพระนามว่ามหาสุทัศน์เป็นพระมหากษัตริย์ปกครอง
มีชื่อว่า กุสาวดีราชธานี เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากประชาชนสงบสุข
สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สรรพสิ่งเครื่องอุปกรณ์แก่ชีวิตของมนุษย์ทุกประการ
เสียงผู้คนร้องเรียกค้าขายสัญจรไปมากันทั้งกลางวันและกลางคืน”
ครั้นพระองค์ทรงแสดงว่ากุสินาราเป็นเมืองใหญ่เช่นนั้นแล้ว
จึงมีพุทธบัญชาให้พระอานนท์ไปแจ้งข่าวปรินิพพานของพระองค์แก่พวกมัลลกษัตริย์ว่าจะมีในยามสุดแห่งราตรีวันนี้
เพื่อมิให้พวกเขาเดือดร้อนเสียใจ ในภายหลังว่า ทั้ง ๆ
ที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานในอาณาเขตของพวกเรา
แต่ทว่ากลับมิได้รู้มิได้เห็นพระองค์ในวาระสุดท้าย พระอานนท์ก็กระทำตามพุทธบัญชา
ครั้นมัลลกษัตริย์ทั้งทรงทราบข่าวแล้ว ก็โศกเศร้ารำพึงรำพันกันไปต่าง ๆ
แล้วพร้อมกันมาเฝ้าพระองค์ที่สาลวโนทยาน พระอานนท์ก็จัดให้เข้าเฝ้าเป็นสกุล
เป็นคณะไปตามลำดับ เสร็จภายในปฐมยามเบื้องต้นแห่งราตรีนั้น นี่เป็นข้อหนึ่งซึ่งแสดงถึงความฉลาดรู้จักกาลเทศะของพระอานนท์สมกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสรรเสริญเอาไว้
เพราะมัลลกษัตริย์มีมากองค์ด้วยกันหากจัดให้เรียงองค์เข้าเฝ้ากันแล้วราตรีจะสว่างเปล่าทั้งไม่เสร็จสิ้น
วิธีปฏิบัติในพระพุทธสรีระ
ลำดับนั้น พระอานนท์จึงทูลถามต่อไปว่าจะพึงปฏิบัติอย่างไรในพระพุทธสรีระพระองค์ตรัสว่า “อานนท์เธอทั้งหลายอย่าขวนขวายเลย
จงตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรมุ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์เถิด บรรดากษัตริย์ พราหมณ์
คหบดีทั้งหลายที่เลื่อมใสในตถาคตมีอยู่ จึงปฏิบัติในสรีระแห่งตถาคตจักเป็นหน้าที่ของพวกเขา” แต่ด้วยความเป็นผู้รอบคอบอานนท์จึงทูลถามอีกว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าก็กษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น
จะพึงปฏิบัติในพระพุทธสรีระโดยวิธีเช่นใด”
“อานนท์ ชนทั้งหลายย่อมปฏิบัติในพระสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิเช่นใด
แม้ในสรีระแห่งตถาคตก็เช่นนั้น” ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ชนทั้งหลายย่อมปฏิบัติกันอย่างไรในพระสรีระแห่งจักรพรรดิราช” “อานนท์ ชนทั้งหลายห่อซึ่งสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิราชด้วยผ้าใหม่
แล้วซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่โดยอุบายนี้ ห่อด้วยผ้า 500 คู่
แล้วเชิญพระสรีระลงหีบทองซึ่งใส่น้ำมันหอม
ถวายพระเพลิงแล้วอัญเชิญพระอัฐิธาตุไปทำพระสถูปบรรจุไว้ ณ ที่ประชุมแห่งถนนใหญ่ทั้ง
4 เพื่อนำไปสักการะกราบไหว้บูชาและเป็นอนุสรณ์เตือนใจของผู้คนที่สัญจรไปมาทั่วไป”
จากนั้น พระองค์ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ว่า “ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันใดที่เราบัญญัติไว้แล้ว
ธรรมวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย โดยกาลเป็นที่สิ้นไปแห่งเรา” และตรัสว่า ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยก็ถอนได้
และรับสั่งให้ลงพรหมทัณฑ์(อาชญาของพรหม) แก่พระฉันทะแล้วทรงตรัสสอนภิกษุสงฆ์ด้วยธรรมอันเป็นปัจฉิมโอวาทว่า “อุปปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลความว่า “ท่านทั้งหลายจงให้ประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ต่อจากนั้นก็มิได้ตรัสอะไรอีกเลย ทรงเข้าฌานที่ 1 ถึง 8
แล้วเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ในตอนนี้พระอานนท์ถามพระอนุรุทธะว่า “พระบรมศาสดาปรินิพพานแล้วหรือ”พระอนุรุทธะตอบว่ายังก่อน
กำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ พระศาสดาทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว เข้าฌานที่ 8
ย้อนมาหาฌานที่ 1 แล้วเข้าฌานที่ 2-3-4 ออกจากฌานที่ 4 แล้วปรินิพพาน
ในเวลาอันใกล้รุ่งของวันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะ เดือน6
เมื่อปรินิพพานแล้ว เวลายังไม่สว่าง
พระอนุรุทธะกับพระอานนท์เถระไปแจ้งข่าวปรินิพพานแก่พวกมัลลกษัตริย์ทราบ ก็ทรงกำสรดโสกาอาดูรต่าง ๆนานา ทรงประกาศให้ประชาชนทราบไปทั่วพระนคร แล้วนำดอกไม้ของหอม
ดนตรีผ้าขาว 500 พับ เสด็จไปยังสาลวโนทยานทำการนมัสการบูชาพระพุทธสรีระอย่างมโหฬาร ตลอดทั้ง 7 วัน 7 คืน
ถวายพระเพลิง
ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ 7 มัลลกษัตริย์ ได้อัญเชิญพระพุทธสรีระเข้าไปยังพระนครโดยประตูด้านทิศอุดรแห่งให้ประชาชนถวายสักการะบูชาทั่วพระนครแล้ว อัญเชิญออกจากพระนครทางประตูด้านทิศบูรพาไปประดิษฐานที่มกุฏพันธนเจดีย์ สถานที่ทำราชาภิเษก ซึ่งอยู่ ณ ทิศบูรพาแห่งพระนครกุสินารา เพื่อจะถวายพระเพลิง
พวกมัลลกษัตริย์ตรัสถามท่านพระอานนท์เถระว่า จะปฏิบัติเช่นไรต่อพระพุทธสรีระ พระเถระบอกให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับพระเจ้าจักรพรรดิ พวกมัลลกษัตริย์ทรงปฏิบัติตามพุทธประสงค์ โดยใช้คู่ผ้าขาวใหม่ห่อพระสรีระแล้วซับด้วยสำลีแล้วห่อด้วยผ้าขาวใหม่แล้วซับด้วยสำลี โดย นัยนี้จนครบ 500 ชั้น แล้วอัญเชิญลงในหีบเหล็กที่มีน้ำมันเติมปิดฝาประดิษฐานบนจิตกาธาน เชิงตะกอนที่ทำด้วยไม้หอมล้วน ๆ แล้วมัลลาปาโมกข์ 4 องค์นำเพลิงเข้าไปจุดเชิงตะกอนทั้ง 4 ทิศ ก็ไม่สามารถจะจุดเพลิงให้ติดได้ มีพระหฤทัยสงสัยจึงตรัสถามท่านพระอนุรุทธะเถระเจ้า พระเถระจึงบอกให้คอยท่านพระมหากัสสปะก่อน
ขณะนั้นท่านมหากัสสปะเถระกำลังเดินทางมาจากปาวานคร ยังมิทันถึงมกุฏพันธเจดีย์ พร้อมด้วยภิกษุประมาณ 500 องค์ แวะพักข้างทางที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง ได้เห็นอาชีวกผู้หนึ่งถือดอกมณฑามาจึงได้เข้าไปถามถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า อาชีวกตอบว่าพระสมณโคดมปรินิพพานได้ 7 วัน พวกภิกษุที่เป็นปุถุชนบางพวกก็ยกมือขึ้นทั้ง 2 ประคอง แล้วร้องไห้ ปริเทวนาการระพันเกลือกกลิ้งไปมา ส่วนภิกษุที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ มีสติสัมปชัญญะอดกลั้นโดยธรรมสังเวช
ในที่นั่นมีหลวงตารูปหนึ่งบวชเมื่อแก่ ชื่อ สุภัททะ ได้ติดตามพระเถระและภิกษุทั้งหลายมาด้วยได้ร้องห้ามขึ้นว่า หยุดร้องไห้เถิดท่านทั้งหลาย อย่าได้เศร้าโศกเสียใจไปเลย เราทั้งหลายจำเป็นต้องทำตามจึงลำบากนัก บัดนี้เราจะทำสิ่งใดหรือไม่ทำสิ่งใดก็ตาม ตามความพอใจโดยมิต้องเกรงผู้ใด” ท่านมหากัสสปะเถระได้สดับแล้วเกิดความสังเวชสลดใจ
ครั้นจะยกขึ้นเป็นอธิกรณ์ทำนิคหกรรมเล่าก็เห็นว่ายังไม่สมควร จึงปลอบโยนภิกษุทั้งหลายโดยชอบธรรม แล้วจึงนำภิกษุทั้งหลายไปสู่มกุฏพันธเจดีย์ เข้าไปใกล้เชิงตะกอนประนมอัญชลีขึ้นนมัสการกระทำประทักษิณสิ้น 3 รอบ แล้วถวายบังคมพระบาทยุคลทั้งคู่ด้วยเศียรเกล้า เมื่อพระมหากัสสปะเถระและภิกษุ 500 องค์ ถวายบังคมแล้ว เตโชธาตุก็ได้โพลงขึ้นเองลุกโชติช่วงเผาพระพุทธสรีระพร้อมทั้งจิตกาธาน
ส่วนที่เหลือจากพระเพลิงเผาไหม้คือ พระอัฐิ(กระดูก) พระเกศา (ผม) พระโลมา(ขน) พระนขา (เล็บ) พระทันต์ (ฟัน) ทั้งหมด และผ้าคู่ห่อพระสรีระคู่หนึ่งเป็นเครื่องห่อพระบรมสารีริกธาตุเหลืออยู่ มิได้ไหม้นอกนั้นเพลิงเผาพินาศหมดสิ้น
เมื่อเสร็จจากการถวายพระเพลิง มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย นำสุคนธวารี คือน้ำหอมชนิดต่าง ๆ ดับจิตกาธารอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานไว้ ณ สัณฐาคารศาลาภายในพระนคร ตั้งเหล่าทหารรักษารายล้อมภายในพระนครอย่างแข็งแรงมั่นคง ทำสักการบูชา และมีมหรสพฉลองพระบรมสารีริกธาตุอย่างมโหฬารตลอด 7 วัน 7 คืน
แจกพระบรมสารีริกธาตุ
บรรดากษัตริย์และผู้ครองนครทั้งหลาย 7 นคร คือ
1. พระเจ้าอชาตศัตรู แห่งเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ
2. กษัตริย์ลิจฉวี แห่งเมืองเวสาลี แคว้นวัชชี
3. ศากยกษัตริย์ แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกชนบท
4. ถูลกษัตริย์ แห่งเมืองอัลลกัปปนคร
5. โกลิยกษัตริย์ แห่งเมืองรามคาม แค้วนสักกชนบท
6. มัลลกษัตริย์ แห่งเมืองปาวานคร แคว้นมัลละ
7. มหาพราหมณ์ แห่งเมืองเวฏฐทีปกนคร
ได้ทราบกิตติศัพท์ จึงได้ส่งทูตเชิญราชสาส์นพร้อมทั้งกองทัพมายังมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา เพื่อทูลขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานไว้ในพระสถูปเจดีย์เพื่อเป็นที่สักการบูชา ณ เมืองแห่งตน มัลลกษัตริย์ไม่ยอมให้จึงเกือบจะเกิดสงครามกันขึ้น
ฝ่ายโทณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ มีปัญญาสามารถชาญฉลาด มีถ้อยคำเป็นที่เชื่อถือของคนทั่วไปสามารถจะห้ามการวิวาทให้สงบลงได้โดยธรรม เมื่อได้ฟังการปฏิเสธของมัลลกษัตริย์แล้วคิดว่า สงครามและการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นเพราะการแย่งพระบรมสารีริกธาตุนั้นไม่เป็นการสมควรเลย ควรจะแบ่งให้เท่า ๆ กัน เพื่อจะได้นำไปสักการบูชายังเมืองของตน คิดดังนี้แล้ว จึงได้กล่าวขึ้นว่า
“ขอพระมหาราชเจ้าทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้าสมเด็จพระพุทธองค์ทรงเป็นสรณะที่พึ่งแห่งเราทั้งหลาย พระองค์เป็นขันติวาท กล่าวสรรเสริญความอดทนอดกลั้นต่อทุกข์และกำลังแห่งกิเลสการจะถือเอาพระบรมสารีริกธาตุเป็นเหตุแล้วทำการประหัตประหารต่อสู้กันด้วยศัสตราวุธ จนเป็นสงครามขึ้นมา ไม่ดีไม่งามเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอบรรดาเจ้านครทั้งหลายจงพร้อมใจกันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 8 ส่วนเท่า ๆ กันพระนครเถิด ขอพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจงแพร่หลายไปทั่วทุกทิศ จักให้สำเร็จประโยชน์ความสุขแก่นิรสัตว์สิ้นกาลนาน”
กษัตริย์ทั้งหลาย เมื่อได้สดับก็ทรงเห็นชอบ และได้ให้โทณพราหมณ์เป็นผู้แบ่ง โทณพราหมณ์นั้นใช้ตุ่มพระทะนานทอง ตวงพระบรมสารีริกธาตุแบ่งออกเป็น 8 ส่วนเท่า ๆ กัน ถวายกษัตริย์และพราหมณ์ทั้ง 8 พระนครเสร็จแล้วทูลขอตุ่มที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุอันควรแก่การบรรจุไว้ ณ เจดียสถานไปก่อสถูปบรรจุไว้
ภายหลังโมริกษัตริย์ แห่งเมืองปิปผลิวัน ได้ทราบข่าวจึงได้ส่งทูตมาทูลขอ มัลลกษัตริย์ได้ตรัสว่าส่วนพระสรีระไม่มีเราได้แบ่งกันเป็นส่วน ๆ หมดไปแล้ว ท่านจงเชิญพระอังคารไปบรรจุพระสถูปทำการสักการบูชาเถิด ราชทูตจึงได้นำพระอังคารกลับไปบรรจุไว้ในพระสถูปเมืองปิปผลิวัน
สังเวชนียสถาน
วันหนึ่ง พระอานนท์ได้กราบทูลว่า “ในกาลก่อน
เมื่อออกพรรษาแล้ว บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายในทิศตาง
ๆก็พากันเดินทางเข้ามาเฝ้าพระองค์ เมื่อไม่เห็นพระองค์จะปฏิบัติอย่างไร” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อานนท์ สังเวชนียสถาน
สถานที่เป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช 4 ตำบลนี้ คือ
1. สถานที่ตถาคตประสูติ (ลุมพินีวัน)
2. สถานที่ตถาคตตรัสรู้ (อุรุเวลาเสนานิคม)
3. สถานที่ตถาคตแสดงธรรมจักร (ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน)
4. สถานที่ตถาคตปรินิพพาน (สาลวโนทยาน)
สถานที่ทั้ง 4 ตำบลนี้แล ควรที่พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
และอุบาสิกา ผู้มีศรัทธาปสาทะในตถาคตจะดูจะเห็นและควรจะให้เกิดความสังเวชทั่วกัน
อานนท์ อนึ่ง ชนเหล่าใดเที่ยวไปสังเวชนียสถานเหล่านี้ด้วยความเลื่อมใส ชนเหล่านั้น
ครั้นกาลล่วงลับไป ก็จักเข้าถึงซึ่งสุคติโลกสวรรค์”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น